เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (Hot-Rolled Structural Steel) มีการใช้งานในต่างประเทศอย่างกว้างขวางมานาน และกำลังมีบทบาทมากขึ้นในวงการก่อสร้างของประเทศไทย เนื่องจากข้อดีหลายประการที่ทำให้การก่อสร้างด้วยเหล็กมีความคุ้มค่าต่อการใช้งาน เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนมีหลากหลายหน้าตัด และเกรดหรือชั้นคุณภาพ
สถาปนิก, วิศวกรหลายท่านอาจจะรู้จักเหล็กชนิดนี้ในชื่อ เหล็กเอชบีม หรือเหล็กไวด์แฟลงก์ (Wide Flange) จากหนังสือที่อ้างอิงกับมาตรฐาน ASTM ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสำหรับการใช้งานในประเทศไทยนั้นทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้กำหนดมาตรฐานเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนให้เป็นไปตามมาตรฐานบังคับ มอก.1227-2539 เนื่องจากเหล็กโครงสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน จึงได้กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิต ต้องเป็นไปตามมาตรฐานดังกล่าว
เมื่อปี พ.ศ. 2537 เริ่มมีการผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนขนาดใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมผู้ใช้งานในประเทศต้องสั่งเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนจากต่างประเทศ ตามมาตรฐาน JIS ของญี่ปุ่น และ ASTM ของสหรัฐอเมริกา หลังจากมีการตั้งโรงงานในประเทศไทยแล้วทำให้ช่วยลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลงได้
กระบวนการผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน จะเริ่มจากการนำเศษเหล็กมาหลอมในเบ้าขนาดใหญ่ ด้วยพลังงานไฟฟ้าให้มีความร้อนสูงถึง 1,600 °C จนกลายเป็นน้ำเหล็ก แล้วทำการปรุงแต่งส่วนผสมทางเคมีให้ได้ตามชั้นคุณภาพของมาตรฐานที่ต้องการผลิต เมื่อปรุงแต่งส่วนผสมทางเคมีเรียบร้อยแล้ว จึงนำน้ำเหล็กที่ได้ไปทำการหล่อให้เป็นแท่ง เพื่อนำเหล็กแท่งนั้นมารีดบนแท่นรีดในกระบวนการถัดไป
ที่แท่นรีดเหล็ก รูปร่าง ขนาดหน้าตัดของเหล็กแท่งจะถูกลดลงเปลี่ยนไปตามร่องผ่านของลูกรีด จนมีขนาดถูกต้องตามมาตรฐานที่ลูกค้าต้องการ หลังจากเหล็กเย็นตัวแล้วจึงนำเหล็กมาดัดให้ตรง และตรวจสอบคุณภาพอีกครั้งก่อนส่งมอบให้กับลูกค้า
“ชั้นคุณภาพ” จะเป็นตัวระบุถึงคุณสมบติทางกล (Mechanical Properties) และส่วนผสมทางเคมี (Chemical Composition) โดยแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกของชั้นคุณภาพ และเกณฑ์ในการควบคุมคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป สำหรับในประเทศไทยแล้ว ทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ได้จัดทำมาตรฐานของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน มาตรฐานเลขที่ มอก.1227-2539 (ทดแทน มาตรฐานเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ มอก.116-2529 ที่ถูกยกเลิกไป) โดยตามมาตรฐานนี้ได้กำหนดชั้นคุณภาพไว้ทั้งหมด 7 ชั้นคุณภาพ ตามตารางคุณสมบัติดังนี้
เมื่อเปรียบเทียบในรายละเอียด จะเห็นชัดเจนว่าส่วนประกอบทางเคมีของเกรด SS400 นั้นควบคุมเพียงค่า P (Phosphorus), และ S (Sulfur) ซี่งหากมีปริมาณมากทำให้เหล็กเปราะ และเกรดนี้ไม่ได้ควบคุมค่า Carbon ซึ่งเป็นธาตุที่เพิ่มความแข็งแรงของเหล็ก แต่หากมีมากเกินไปทำให้เหล็กมีความเปราะเพิ่มขึ้น ในขณะที่เกรด SM520 จะมีการควบคุมปริมาณ Carbon, Silicon, Manganese เพิ่มเติมอีก 3 ธาตุในระดับที่เหมาะสม และมีการควบคุมธาตุ Phosphorus, Sulfur ในระดับที่ต่ำกว่าเกรด SS400 ทำให้เหล็กมีความเหนียวที่ดี ส่งผลให้คุณสมบัติทางกลด้านความยืด (Elongation) และความทนต่อแรงกระแทก (Impact) ดีขึ้น ดังนั้นเกรด SS400 จึงเหมาะสำหรับใช้ในงานโครงสร้างทั่วไปที่มีการตัด เจาะรูขันน็อต และเชื่อมได้แต่ควรควบคุมการให้ความร้อนก่อนและหลังการเชื่อม (Pre-heating & Post heating) ส่วนเกรด SM520 นั้นจะมีคุณสมบัติต่างๆ ดีขึ้น โอกาสแตกร้าวจากรอยเชื่อมต่ำลง มีความเหนียว และมีคุณสมบัติทนทานต่อแรงกระแทกที่อุณหภูมิ 0°C และยังมีกำลังสูงกว่าเกรด SS400 ถึง 50% จึงเป็นเกรดที่เหมาะกับงานเชื่อม งานเจาะรูขันน็อต รวมถึงงานดัดโค้ง ซึ่งโครงการส่วนใหญ่สามารถนำไปใช้งานได้เป็นอย่างดี
ด้วยรูปทรงที่แตกต่างกันของแต่ละประเภทหน้าตัด ทำให้เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนมีคุณสมบัติในการรับแรงในแนวต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยน้ำหนักที่เบากว่าโครงสร้างคอนกรีต เหมาะกับสำหรับใช้งานโครงสร้างชนิดต่างๆ เช่น
ในการระบุรายละเอียดของเหล็กในแบบปริมาณวัสดุการก่อสร้าง (BOQ) หรือ การระบุในใบสั่งซื้อสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนนั้น เพื่อความถูกต้อง รวดเร็วจะต้องระบุรายละเอียดต่างๆดังต่อไปนี้
รายการเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน : มาตราฐาน มอก.1227-2539
แหล่งที่มา : http://www.hbeamconnect.com
วีดิโอ : HOME MART เมืองวัสดุ จ.อุบลราชธานี
นี่คือกล่อง "เขียนข้อความ" กล่องที่จะให้คุณเพิ่มข้อความ รูปภาพและวิดีโอได้อย่างอิสระตามสไตล์ของคุณเอง เช่น แบนเนอร์ โปรโมชั่น บทความ แนะนำร้านค้า หรือ รายการสินค้าเด่น เป็นต้น โดยคุณสามารถแก้ไขหรือลบกล่องนี้ได้หากคุณต้องการ ซึ่งมีวิธีการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
วิธีการแก้ไขข้อความในกล่องขั้นตอนและค่าใช้จ่าย การรังวัด รวม แบ่งแยก สอบเขตที่ดิน คนมีที่ดินต้องรู้ไว้
การซื้อที่ดินนั้นมีเงินอย่างเดียวไม่พอ จะต้องมีความรู้ด้วยเพื่อจะได้ไม่ถูกใคร เ อ า เ ป รี ย บ ช่ อ โ ก ง กันได้ เพราะที่ดินเองนั้นมีหลายขั้นตอนกว่าจะกลายมาเป็นของเราโดยสมบูรณ์ และวันนี้เรามีความรู้ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย การรังวัด โฉนดที่ดิน รวม แบ่งแยก และ สอบเขตที่ดิน รวมไปถึงการตรวจสอบเนื้อที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ด้วย มีอะไรบ้างที่คนมีที่ดินจะต้องรู้
ขั้นตอนและค่าใช้จ่าย การรังวัด รวม แบ่งแยก สอบเขตที่ดิน
หากคุณเป็นเจ้าของที่ดินจะต้องมีความรู้และทราบข้อเหล่านี้
– ที่ดินที่ครอบครองอยู่มีหลักฐานอะไร ให้นำหลักฐานที่มีไปประกอบการยื่นคำขอ รังวัดที่ดิน
– ที่ดินตั้งอยู่ที่ไหน หมู่ที่เท่าใด ตำบล อำเภอ อะไร
– เจ้าของที่ดินข้างเคียงเป็นผู้ใดบ้าง ติดที่สาธารณประโยชน์หรือไม่
– สภาพที่ดินเป็นอย่างไร เช่น ที่นา ที่สวน ที่ไร่ ที่อยู่อาศัย
สำหรับการยื่นคำร้องขอรังวัดที่ดินนั้นเราสามารถไปทำเรื่องได้ที่สำนักงานที่ดินจังหวัด หรือจะเป็นที่สำนักงานทีจังหวัดสาขา หรือในเขตที่ดินอำเภอก็ได้ โดยเอาที่ว่าที่ดินในโฉนดที่เราจะเอาไปยื่นนั้นตั้งอยู่ในเขตไหนก็ไปที่นั่นเลย ยกเว้นว่า ได้มีการยกเลิกอำนาจนายอำเภอค่อยไปติดต่อกับสำนักงานที่ดินจังหวัดก็ได้ ก่อนจะทำจัดการทำเรื่องก็อย่าเตรียมเอกสารต่าง ๆ ไปให้พร้อม
หลักฐานประกอบการขอรังวัด แบ่งแยก หรือสอบเขตโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์
– บัตรประจำตัว ทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส หลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัวชื่อสกุล (ถ้ามี)
– โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์
– หลักฐานประกอบการขอรังวัดรวมโฉนดที่ดิน
– บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส หลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล (ถ้ามี)
– โฉนดที่ดินที่จะขอรวม ต้องมีลักษณะดังนี้
(1) ต้องเป็นหนังสือสำคัญแสดง ก ร ร ม สิ ท ธิ์ ประเภทเดียวกัน เว้นแต่ โฉนดแผนที่ กับโฉนดที่ดินให้รวมกันได้
(2) ต้องมีชื่อผู้ถือ ก ร ร ม สิ ท ธิ์ ที่ดินในโฉนดที่ดินเหมือนกันทุกฉบับและต้องยังมีชีวิตอยู่ทุกคน
(3) ต้องเป็นที่ดินติดต่อผืนเดียวกัน ในจังหวัดและสำนักงานที่ดินเดียวกัน
ขั้นตอนและค่าใช้จ่าย การรังวัด รวม แบ่งแยก สอบเขตที่ดิน
ขั้นตอนการรังวัด แบ่งแยก รวม สอบเขตที่ดิน
1. รับบัตรคิวจากประชาสัมพันธ์
2. รับคำขอสอบสวน ชำระเงิน ค่ า ธ ร ร ม เ นี ย ม คำขอ
3. ส่งฝ่ายรังวัดดำเนินการ นัดวันทำการรังวัด กำหนดตัวช่างรังวัด กำหนดเงินมัดจำรังวัด
4. ค้นหารายชื่อเจ้าของที่ดินข้างเคียง และพิมพ์หนังสือแจ้งข้างเคียง
5. รับหนังสือแจ้งข้างเคียง วางเงินมัดจำรังวัด รับหลักเขตที่ดิน
6. ช่างรังวัดออกไปทำการรังวัดตามวันที่กำหนดไว้
7. คำนวณเนื้อที่ และเขียนรูปแผนที่ในโฉนดที่ดิน
8. ส่งเรื่องรังวัดคืนฝ่ายทะเบียน เรียกผู้ขอมาจดทะเบียน
9. สอบสวนจดทะเบียนแบ่งแยก
10. ตรวจอายัด
11. ชำระเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน และค่าโฉนด
12. แก้รายการทะเบียน และจดทะเบียนแบ่งแยก
13. สร้างโฉนดที่ดินแปลงแบ่งแยก
14. เสนอเจ้าพนักงานที่ดินลงนามและประทับตรา
15. แจกโฉนดที่ดินแปลงแบ่งแยก
ขั้นตอนและค่าใช้จ่าย การรังวัด รวม แบ่งแยก สอบเขตที่ดิน
ขั้นตอนการขอแบ่งแยกตรวจสอบเนื้อที่ และรวมหนังสือรับรองการทำประโยชน์
1. เจ้าของที่ดินนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์และเอกสารต่าง ๆ ไปยื่นคำขอ
2. ให้ถ้อยคำในการนัดรังวัด เพื่อกำหนดวันทำการรังวัด
– กำหนดค่าใช้จ่ายในการรังวัด
– กำหนดเจ้าหน้าที่และสถานที่นัดพบ
3. รับเจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดและปักหลัก จนเสร็จการ
4. ลงนามในเอกสารต่าง ๆ
5. รอรับหนังสือแจ้งให้ไปดำเนินการจดทะเบียน ฯลฯ
ขั้นตอนและค่าใช้จ่าย การรังวัด รวม แบ่งแยก สอบเขตที่ดิน
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรังวัดหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และโฉนดที่ดิน รายละเอียด
1. ค่าธรรมเนียมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
– ที่ดินเนื้อที่ไม่เกิน 20 ไร่ แปลงละ 30 บาท
– ที่ดินเนื้อที่เกิน 20 ไร่ ส่วนที่เกิน( เศษของไร่ให้คิดเป็นหนึ่งไร่) ไร่ละ 2 บาท
2. ค่าธรรมเนียมการพิสูจน์สอบสวนหรือตรวจสอบเนื้อที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์
– ถ้าเรียกเป็นรายแปลง แปลงละ 30 บาท
– ถ้าเรียกเป็นรายวัน วันละ 30 บาท
– ค่าคัดหรือจำลองแผนที่ แปลงละ 30 บาท
– ค่าคำนวณเนื้อที่หรือสอบแส แปลงละ 30 บาท
– ค่าจับระยะ แปลงละ 10 บาท
3. ค่าธรรมเนียมออกโฉนดที่ดิน
– ที่ดินเนื้อที่ไม่เกิน 20 ไร่ แปลงละ 50 บาท
– ที่ดินเนื้อที่เกิน 20 ไร่ ส่วนที่เกิน( เศษของไร่ให้คิดเป็นหนึ่งไร่ ) ไร่ละ 2 บาท
4. ค่าธรรมเนียมรังวัดเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน
– ถ้าเรียกเป็นรายแปลง แปลงละ 40 บาท
– ถ้าเรียกเป็นรายวัน วันละ 40 บาท
– ค่าคัดหรือจำลองแผนที่ แปลงละ 30 บาท
– ค่าคำนวณเนื้อที่หรือสอบแส แปลงละ 30 บาท
– ค่าจับระยะ แปลงละ 10 บาท
5. ค่าธรรมเนียมเบ็ดเตล็ด
– ค่าคำขอ แปลงละ 5 บาท
– ค่ามอบอำนาจ เรื่องละ 20 บาท
– ค่าปิดประกาศให้แก่ผู้ปิดประกาศ แปลงละ 10 บาท
– ค่าพยานให้แก่พยาน คนละ 10 บาท
– ค่าหลักเขต หลักละ 15 บาท
6. ค่าใช้จ่ายการรังวัดเกี่ยวกับโฉนดที่ดินหรือพิสูจน์สอบสวน หรือตรวจสอบเนื้อที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์
– ค่าพาหนะเดินทางให้แก่เจ้าพนักงาน พนักงานเจ้าหน้าที่ และคนงานจ้างไปทำการรังวัด ให้จ่ายในลักษณะเหมาจ่ายตามระเบียบ
– กระทรวงมหาดไทยด้วยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
– ค่าเบี้ยเลี้ยงให้แก่เจ้าพนักงาน พนักงานเจ้าหน้าที่ และค่าจ้างคนงานที่จ้างไปทำการรังวัด ให้จ่ายในลักษณะเหมาจ่ายตามระเบียบ
– กระทรวงมหาดไทย ด้วยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
– ค่าป่ายการให้แก่เจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ หรือผู้แทนที่ไปในการรังวัด ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
– ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการรังวัดให้จ่ายในลักษณะเหมาจ่ายตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยด้วยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เรื่องละ 100 บาท
ขั้นตอนและค่าใช้จ่าย การรังวัด รวม แบ่งแยก สอบเขตที่ดิน
การคิดค่าใช้จ่ายในการรังวัดที่ดิน
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการรังวัดที่ดินที่ผู้ขอจะต้อชำระตามกฎหมาย (กฎกระทรวง ฉบับที่ 47 และ 48 ออกตามความในพระราชบัญญัติ ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497) มีดังนี้
1. ค่าธรรมเนียมรังวัด
– เกี่ยวกับโฉนดที่ดิน แปลง/วัน/ละ 40 บาท
– เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แปลง/วัน/ละ 30 บาท
2. ค่าหลักเขตที่ดิน หลักละ 15 บาท (ตามที่ใช้จริง)
3. ค่าใช้จ่ายในการรังวัดลักษณะเหมาจ่าย ดังนี้
3.1 ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าส่งหมายข้างเคียงทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ 200 บาท
3.2 ค่าป่วยการเจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
3.3 ค่าพาหนะพนักงานเจ้าหน้าที่และคนงานรังวัด วันละไม่เกิน 1,600 บาท
3.4 ค่าคนงานรังวัด คน/วัน 420 บาท (ตามเขตจังหวัดที่กระทรวงการคลังกำหนด)
ทั้งนี้ การกำหนดวันทำการรังวัดตามข้อ 3.3 และ 3.4 กำหนดตามจำนวนเนื้อที่ ดังนี้
การรังวัดเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน
1. เนื้อที่ไม่เกิน 5 ไร่ เวลาทำการ 1 วัน ค่าใช้จ่ายจะเรียกได้ไม่ 3,480 บาท
2. เนื้อที่ไม่เกิน 15 ไร่ เวลาทำการ 2 วัน ค่าใช้จ่ายจะเรียกได้ไม่เกิน 6,760 บาท
3. เนื้อที่ไม่เกิน 30 ไร่ เวลาทำการ 3 วัน ค่าใช้จ่ายจะเรียกได้ไม่เกิน 10,040 บาท
4. เนื้อที่ไม่เกิน 50 ไร่ เวลาทำการ 4 วัน ค่าใช้จ่ายจะเรียกได้ไม่เกิน 13,320 บาท
การรังวัดเกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์
– เนื้อที่ไม่เกิน 20 ไร่ เวลาทำการ 1 วัน ค่าใช้จ่ายจะเรียกได้ไม่เกิน 2,640 บาท
– เนื้อที่ไม่เกิน 50 ไร่ เวลาทำการ 2 วัน ค่าใช้จ่ายจะเรียกได้ไม่เกิน 5,080 บาท
ขั้นตอนและค่าใช้จ่าย การรังวัด รวม แบ่งแยก สอบเขตที่ดิน
หมายเหตุ
– กรณีเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ ทุก 50 ไร่ หรือเศษเกินกว่า 25 ไร่ ให้เพิ่มวันทำการรังวัด 1 วัน
– กรณีที่ดินตั้งอยู่ในพื้นที่องค์กรปกครองรูปแบบพิเศษ เช่น กรุงเทพมหานคร/เมืองพัทยา ฯลฯ หรือเทศบาลนคร หรือเทศบาลเมือง หรือที่สวนเป็นไม้ ยืนต้น เช่น สวนผลไม้ สวนปาล์ม สวนยาง ฯลฯ เป็นต้น ให้เพิ่มวันทำการรังวัด 1 วัน
– กรณีการรังวัดต้องคำนวณจำกัดเนื้อที่ ให้เพิ่มวันทำการรังวัด 1 วัน
- กรณีการรังวัดมีที่ดินข้างเคียงมากแปลง ทุกๆข้างเคียง 30 แปลง หรือเศษเกินกว่า 15 แปลง ให้เพิ่มวันทำการรังวัด 1 วัน
– กรณีการรังวัดแบ่งแยกจัดสรร ทุกๆ 8 แปลง หรือเศษเกินกว่า 4 แปลง ให้เพิ่มวันทำการรังวัด 1 วัน
– กรณีมีเหตุข้อ1 และ 2 รวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน ให้เพิ่มวันทำการรังวัดได้ในกรณีใดกรณีหนึ่งเท่านั้น
จะเห็นว่ามีอะไรค่อนข้างจุกจิกและดูยุ่งยากมากทีเดียว แต่ก็ไม่ยากอะไรสำหรับคนที่เคยทำมาบ้างแล้วจะทำง่ายขึ้น คล่องในการเตรียมตัวเตรียมเอกสาร และที่สำคัญคือเตรียมค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในแต่ละขั้นตอนด้วย หากคุณไม่รู้เรื่องอะไรเหล่านี้เลยที่ดินที่คุณมีอาจจะค่อย ๆ กลายเป็นของคนอื่นแบบที่คุณไม่รู้สึกตัวเลยก็ได้ ฉะนั้นก็มีความรู้ติดตัวเอาไว้บ้างจะดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมที่ดิน , sharenoi
นี่คือกล่อง "เขียนข้อความ" กล่องที่จะให้คุณเพิ่มข้อความ รูปภาพและวิดีโอได้อย่างอิสระตามสไตล์ของคุณเอง เช่น แบนเนอร์ โปรโมชั่น บทความ แนะนำร้านค้า หรือ รายการสินค้าเด่น เป็นต้น โดยคุณสามารถแก้ไขหรือลบกล่องนี้ได้หากคุณต้องการ ซึ่งมีวิธีการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
วิธีการแก้ไขข้อความในกล่องหน้าที่เข้าชม | 66,907 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 44,212 ครั้ง |
เปิดร้าน | 9 มิ.ย. 2562 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |